การประกวดโครงการการจัดการทรัพยากรน้ำชุมชนตามแนวพระราชดำริ ครั้งที่ 3 ประจำปี 2552
ที่ดำเนินการโดยมูลนิธิโคคา-โคลา ประเทศไทย และสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร (องค์การมหาชน)(สสนก.) ซึ่งมีสมาชิกชุมชน 18 ชุมชนเข้าร่วมประกวด คณะกรรมการตัดสินให้ "ชุมชนหนองปิ้งไก่ จ.กำแพงเพชร" ได้รางวัลชนะเลิศ ประเภทน้ำแล้ง รางวัลรองชนะเลิศ เป็นของ "ชุมชนปิยะมิตร 3 อ.เบตง จ.ยะลา" ประเภทชุมชนต้นน้ำ และรางวัลที่ 3 เป็นของ "เครือข่ายชุมชนรักษ์ป่าต้นน้ำแม่ลาว อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย" ในประเภทชุมชนต้นน้ำ
สำหรับชุมชน "ชุมชนหนองปิ้งไก่" ซึ่งได้รางวัลชนะเลิศ คณะกรรมการให้เหตุผลว่าเป็นชุมชนน้ำแล้งที่สามารถพลิกสภาพขาดแคลนน้ำทำนาและความยากจน โดยชาวบ้านร่วมมือกันพัฒนาแหล่งน้ำและบริหารจัดการระบบชลประทานเกษตร นำ "ระบบแต" ซึ่งเป็นการจัดสรรน้ำอย่างเป็นธรรมและเท่าเทียมกันมาใช้ จนสามารถกักเก็บน้ำทำนาได้ปีละ 3 ครั้ง มีผลผลิต 80 ถังต่อไร่
ส่วน "บ้านปิยะมิตร" อ.เบตง จ.ยะลา เป็นชุมชนต้นน้ำที่ประสบปัญหาการจัดการและการส่งน้ำ และเผชิญกับปัญหาน้ำหลากทุกปี แต่ได้นำแนวพระราชดำริด้านการจัดการน้ำมาใช้จนสามารถอนุรักษ์และดูแลป่าต้นน้ำพื้นที่ 3,000 ไร่ สร้างฝายเก็บน้ำ ระบบน้ำประปา นำน้ำมาใช้เลี้ยงปลาและปลูกผักเสริมรายได้ รวมทั้งจัดตั้งกลุ่มลาดตระเวนสำรวจป่าต้นน้ำเพื่อเฝ้าระวังและอนุรักษ์ป่าต้นน้ำอย่างยั่งยืน
รางวัลที่ 3 "เครือข่ายชุมชนรักษ์ป่าต้นน้ำแม่ลาว" อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย ชุมชนต้นน้ำที่เผชิญกับปัญหาป่าไม้ถูกทำลายจากการตัดถนนและทำเหมืองแร่ จึงหันมาใช้แนวพระราชดำริในการตั้งเครือข่ายชุมชนรักษ์ป่าต้นน้ำแม่ลาว ทำฝายเพื่อทดแทนน้ำและปลูกป่าทดแทน จนมีป่ามีน้ำกลับคืนมาอย่างสมบูรณ์ สามารถใช้เพื่อการเกษตรและการผลิตกระแสไฟฟ้าได้
ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล ประธานกิตติมศักดิ์ สสนก. ประธานในพิธีมอบรางวัลครั้งนี้ กล่าวว่า สสนก. และมูลนิธิโคคา-โคลา ประเทศไทย ร่วมกันจัดทำโครงการประกวดการจัดการทรัพยากรน้ำชุมชน ตามแนวพระราชดำริมาเป็นปีที่ 3 แล้ว โดยโครงการนี้นับว่าเป็นส่วนสำคัญในการเพิ่มความเข้มแข็งและความมั่นคงในการจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศ
"ประเทศไทยมีชุมชนมากกว่า 60,000 ชุมชน จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องสนับสนุนให้ชุมชนมีการจัดการทรัพยกาน้ำที่มีประสิทธิภาพ และต้องประสานร่วมกันเป็นเครือข่ายการจัดการทรัพยกรน้ำระดับชุมชนต่อไป ซึ่งโครงการของโคคา-โคลาฯ ที่จัดประกวดปัจจุบันมีชุมชน 54 ชุมชน เข้าร่วมเป็นเครือข่ายการจัดการทรัพยากรน้ำชุมชนตามแนวพระราชดำริ และเรามุ่งมั่นที่จะขยายเครือข่ายน้ำให้ครอบคลุมกว้างขวางที่สุด" ดร.สุเมธกล่าว
ขณะที่พลตรีพัชร รัตตกุล กรรมการมูลนิธิโคคา-โคลา ประเทศไทย ที่ให้การสนับสนุนการประกวด กล่าวว่า โคคา-โคลาตระหนักดีว่าน้ำเป็นปัจจัยที่สำคัญของชีวิตและความยั่งยืนของชุมชน โดยโคคา-โคลามีเป้าหมายทั่วโลกในการคืนน้ำสู่ชุมชนและธรรมชาติ ในปริมาณที่เทียบเท่ากับปริมาณน้ำที่ใช้ในการผลิตเครื่องดื่มภายในปี 2563 หรือที่เรียกว่าการคืนน้ำสู่ธรรมชาติ และโปรแกรมการประกวดการจัดการทรัพยากรน้ำชุมชนตามแนวพระราชดำริดังกล่าว ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรมรักน้ำ ตามแนวคิด Live Positively ของโคคา-โคลาบริษัทแม่ ที่ต้องการตอบแทนสังคม
"มูลนิธิโคคา-โคลา ประเทศไทย ยังมีโครงการต่อยอดให้การสนับสนุนชุมชนที่ผ่านการเข้าประกวด เข้าร่วมในโครงการ "ชุมชนแห่งการเรียนรู้และอยู่ดีมีสุข" ซึ่งเป็นโครงการที่มูลนิธิฯ ร่วมกับ สสนก.สนับสนุนการวางแผนและการดำเนินกิจกรรมจัดการทรัพยากรแหล่งน้ำ โดยใช้ระบบการค้นหาพิกัด หรือจีพีเอส อันชาญฉลาด รวมถึงระบบโทรมาตรและเทคโนโลยีภาพถ่ายจากดาวเทียมในการวางแผนและบริหารจัดการทรัพยากรน้ำให้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น" ประธานมูลนิธิโคคา-โคลากล่าว.
http://www.thaipost.net/sunday/060610/23111
ชุดความรู้การจัดการ ดิน น้ำ ป่า
เครือข่ายชุมชนรักษ์ป่าต้นน้ำแม่ลาว
องค์ความรู้กับการจัดการดิน น้ำ ป่า ของเครือข่ายฯ มีทั้งหมด 9 ประการ คือ
1. มองป่าเหมือนลมหายใจ ไม่มีป่า ไม่มีน้ำ ไม่มีสิ่งมีชีวิต
2. ชุมชนต้องเรียนรู้และให้ความสำคัญกับป่าต้นน้ำให้มากขึ้น
3. ชุมชนจะต้องรู้จักป่า รู้จักการเรียนรู้อยู่กับป่า และรู้จักการใช้ประโยชน์จากป่า (หน้าหมู่)
4. ชุมชนต้องปลูกป่าทดแทนทุกปี เพื่อทดแทนที่ถูกภัยจากธรรมชาติทำลาย
5. ชุมชนจะต้องมีกฎระเบียบการอยู่ร่วมกับป่าและนำมาบังคับใช้จริงในชุมชน
6. ผู้นำชุมชนต้องเข้มแข็งทันต่อสถานการณ์ทุกเวลา
7. รัฐ อบจ. อปท. เอกชน ต้องส่งเสริม และช่วยเหลือหรือร่วมกันพัฒนาและประชาสัมพันธ์
8. ป่าต้นน้ำต้องเป็นของชุมชนทุกชุมชน
9. รู้จักใช้ชีวิตอย่างพอเพียง เพื่อน้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ในครัวเรือนแต่ละชุมชน
1. มองป่าเหมือนลมหายใจ ไม่มีป่า ไม่มีน้ำ ไม่มีสิ่งมีชีวิต
2. ชุมชนต้องเรียนรู้และให้ความสำคัญกับป่าต้นน้ำให้มากขึ้น
3. ชุมชนจะต้องรู้จักป่า รู้จักการเรียนรู้อยู่กับป่า และรู้จักการใช้ประโยชน์จากป่า (หน้าหมู่)
4. ชุมชนต้องปลูกป่าทดแทนทุกปี เพื่อทดแทนที่ถูกภัยจากธรรมชาติทำลาย
5. ชุมชนจะต้องมีกฎระเบียบการอยู่ร่วมกับป่าและนำมาบังคับใช้จริงในชุมชน
6. ผู้นำชุมชนต้องเข้มแข็งทันต่อสถานการณ์ทุกเวลา
7. รัฐ อบจ. อปท. เอกชน ต้องส่งเสริม และช่วยเหลือหรือร่วมกันพัฒนาและประชาสัมพันธ์
8. ป่าต้นน้ำต้องเป็นของชุมชนทุกชุมชน
9. รู้จักใช้ชีวิตอย่างพอเพียง เพื่อน้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ในครัวเรือนแต่ละชุมชน
องค์ความรู้ทั้ง 9 ข้อ ของเครือข่ายฯ หากชุมชนได้นำไปปฏิบัติจะทำให้สิ่งแวดล้อมที่มีคุณค่าต่อทรัพยากรมนุษย์ก็จะอยู่คู่กับเราไปตลอดกาลเหมือนกับเครือข่ายชุมชนรักษ์ป่าต้นน้ำแม่ลาว
Constructor:
เครือข่ายชุมชนรักษ์ป่าต้นน้ำแม่ลาว
Supporter:
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.), สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร (องค์การมหาชน) (สสนก.)
ลักษณะ:
หนังสือ, 28 หน้า
ปีที่พิมพ์:
2009
www.haii.or.th/.../component/content/.../frontpage.html?..
---------------------------------------------------------------------------------------
เชื่อมโยง สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน